กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ ETDA แนะทางออกภาษีคริปโต

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

นางทิพยสุดา ถาวรามร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเศรษฐกิจการเงิน) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA และอดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว Tipsuda Sundaravej Thavaramara ระบุว่า…

ว่าด้วยเรื่องภาษีคริปโต

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวว่ากรมสรรพากรจะประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อสรุปที่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับการเสียภาษีจากธุรกรรมในสินทรัพย์ดิจิทัล ดิฉันรู้สึกยินดีที่ได้เห็นสรรพากรเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ปัญหาภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีมานานหลายปีแล้ว และไม่ได้มีแค่เรื่อง capital gains tax ด้วย

เนื่องจากดิฉันเคยมีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะผู้กำกับดูแล และปัจจุบันก็ยังช่วยให้คำปรึกษาแก่ภาคธุรกิจ ที่ผ่านมาดิฉันจึงได้มีโอกาสหารือกับทั้งผู้ประกอบการ นักกฎหมาย ตลอดจนคนสรรพากรในเรื่องนี้ ประกอบกับระยะหลังมีผู้มาขอความเห็นหลายราย จึงขอแชร์ความเข้าใจและความเห็นของตัวเองไว้ในที่นี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการหาทางออกสำหรับอุตสาหกรรมต่อไป

เท่าที่ดิฉันทราบ ปัญหาภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลมี 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

1. ภาษีกำไรจากการขาย (capital gains tax )

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

3. ภาษีจากการออกและเสนอขาย token

เรื่องที่ 1 : capital gains tax

ปัญหาของไทยคือเก็บอย่างไม่เป็นธรรมเพราะเก็บจากรายการที่มีกำไร แต่ไม่ให้เอารายการที่ขาดทุนมาหัก และ กำหนดภาระหักภาษี ณ ที่จ่าย (withholding tax) แบบที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะ exchange เป็นเพียงตัวกลางไม่ใช่ผู้จ่ายเงินได้ ส่วนผู้ซื้อที่จ่ายเงินได้นั้นก็ไม่รู้ข้อมูลต้นทุนของผู้ขาย เรียกว่าทั้งไม่ fair และไม่ practicable

การมี withholding tax ยังมีผลกระทบไปถึงกรณีโอนคริปโตไปชำระค่าสินค้าหรือบริการด้วย เพราะเปรียบเสมือนได้ขายคริปโตจำนวนนั้นในราคารวมเท่ากับมูลค่าสินค้า เป็นเหตุให้ร้านค้าต้องหักภาษี capital gains จากผู้ซื้อสินค้า ทั้งๆที่ไม่รู้ต้นทุนของเขา

ทางออกมีอยู่ 3 ทาง คือ (1) ยกเว้นไปก่อน ทำนองเดียวกับที่เรายกเว้นให้บุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะทำให้สอดคล้องกัน ไม่ดูเลือกปฏิบัติ แต่อันนี้ก็ขึ้นกับนโยบายว่าจะส่งเสริมหรือไม่ (2) ถ้าไม่ส่งเสริม จะเก็บภาษี ก็ควรทำให้ fair เก็บจาก net gain ทั้งปี ให้เอาที่ขาดทุนมาหักกลบได้ และเมื่อคิด net ทั้งปี ก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ข้อมูลที่จะมาคำนวณ exchange หรือ broker สามารถช่วยส่งข้อมูล transaction เท่าที่ทำผ่านตนให้ทั้งผู้ลงทุนและสรรพากร (3) อีกวิธีก็เก็บเป็น transaction tax จากมูลค่าซื้อขายแทน แบบเดียวกับอากรแสตมป์แต่อัตราต้องไม่สูงเกินไป เก็บแล้วจบ

เรื่องที่ 2 : VAT

ปัญหาคือสรรพากรมองคริปโตเป็นสินค้า ผลที่ตามมาคือ

– เวลาธุรกิจขายของ มี VAT จากขายสินค้า ถ้ารับชำระเป็นคริปโตแล้วตอนเอาคริปโตไปขายเป็นบาทก็ถือเป็นสินค้าอีกตัว โดน VAT ซ้ำ

– เวลาผู้ลงทุนขายคริปโตก็หาว่าขายสินค้า ถ้าคนไหนมี volume ขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็ต้องจด VAT และเสีย VAT ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเขียนใบกำกับภาษียังไง ขายใครยังไม่รู้เลย
ประเทศอื่นเขาเห็นปัญหาที่ส่งผลต่อทั้งลูกค้าและธุรกิจ ทยอยแก้กันแล้ว ไม่ต้องเสีย VAT หรือ GST สำหรับการโอนคริปโตเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการหรือในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ไม่ว่า EU Australia Singapore คือเขายอมรับแนวคิดการใช้คริปโตเพื่อ payment จึงยกเว้น VAT/GST ให้
ปัญหานี้กระทบมากกว่าผู้ประกอบธุรกิจตัวกลาง กิจการใดที่รับคริปโตหรือถือคริปโตเป็นสินทรัพย์ลงทุนก็กระทบ ดีไม่ดีเขาอาจจะเลือกไปจดทะเบียนตั้งบริษัทที่ประเทศอื่นเลย
เรื่องที่ 3 : ภาษีจากการออกและเสนอขาย token

ดิฉันเคยคุยกับคนสรรพากรเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่า เวลากิจการระดมทุนด้วยการออก investment token ไม่ควรจะถือเป็นเงินได้ที่ต้องเอามาคำนวณภาษี (เหมือนเงินที่บริษัทได้จากการออกหุ้นหรือหุ้นกู้ไม่ถือเป็นเงินได้) สรรพากรบอกว่า ทุกอย่างถือเป็นเงินได้ไว้ก่อน เว้นแต่จะมีประกาศยกเว้นให้เป็นเรื่องๆไป ซึ่ง investment token ควรจะมี แต่ยังไม่มี รอมา 3 ปี ก็เข้าใจว่ายังไม่มี แม้ตอนที่มีธุรกิจออก investment token ระดมทุนปีที่แล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นประกาศสรรพากรที่ชัดเจนเรื่องนี้ แต่ดิฉันหวังว่า พอธุรกิจออกมาแล้วก็คงจะนำไปสู่การตีความไปในทางที่ควรจะเป็นและประกาศออกมาต่อไป (ถ้าตีไปอีกทางคงจะปั่นป่วนแน่)

การพิจารณาปัญหาภาษีคริปโตมีประเด็นคำถามว่า 1. เป็นธรรมหรือไม่ (fairness) 2. ชัดเจนหรือไม่ (clarity) 3. ปฏิบัติได้หรือไม่ (practicability ) และ 4. เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้หรือไม่ (promotion) เรามักจะให้ความสำคัญกับข้อ 4 และยกเหตุผลต่างๆ นานามาสนับสนุนการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้วยการยกเว้นภาษี ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วยกับที่หลายๆ คนยกขึ้นมา อย่างไรก็ดี ดิฉันคิดว่าเราต้องพยายามแยกแยะประเด็นเหล่านี้ อย่าไปปนกันหมด เพราะการส่งเสริมอุตสาหกรรมใดเป็นการตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งอาจมองคำตอบที่แตกต่างกันได้ แต่การเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม ภายใต้กติกาที่ชัดเจนและปฏิบัติได้ น่าจะเป็นหลักที่สรรพากรควรจะยึดถือ ไม่ว่านโยบายจะต้องการส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม

อ้างอิง
https://siamrath.co.th